วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557

บทที่7 การรับส่งและการจัดการอีเมล์ด้วยGmail

E-Mail (Electronic Mail) - จดหมายอิเลคทรอนิกส์ คืออะไร


     คือจดหมายอิเลคทรอนิกส์ ที่ใช้รับส่งกันโดยผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์บางแห่งใช้เฉพาะภายใน บางแห่งใช้เฉพาะภายนอกองค์กร (สำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกคือ internet) การใช้งานก็เหมือนกับเราพิมพ์ข้อความในโปรแกรม word จากนั้นก็คลิกคำสั่ง เพื่อส่งออกไป โดยจะมีชื่อของผู้รับ ซึ่งเราเรียกว่า Email Address เป็นหลักในการรับส่ง


รูปแบบชื่อ Email Address yourname@it-guides.com


1.yourname คือ ชื่อของคุณ สามารถตั้งเป็นชื่ออะไรก็ได้
2.เครื่องหมาย "@" สำหรับกั้นระหว่าง ชื่อ กับ ชื่อเวปไซท์ หรือ domain name
3.it-guides.com คือ ชื่อเวปไซท์หรือ domain name


ชนิดของการรับส่ง E-mail

1.รับส่งโดยใช้โปรแกรม Email โดยเฉพาะ เช่น Outlook Express, Eudora
2.รับส่งโดยผ่าน Web site เช่น www.yahoo.com, www.hotmail.com
3.รับส่งโดยผ่าน Web Browser เช่น Netscape, IE เป็นต้น


     การรับส่ง Email โดยปกติจะต้องมีการกำหนด Configuration เพื่อกำหนด Incoming Mail และ Outgoing Mail Server ซึ่งทำให้เกิดความยุ่งยากในการ check mail เนื่องจากบางคนไม่ได้มีเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นของตนเอง หรือบางคนอาจจะต้องเดินทางบ่อย ๆ ทำให้ไม่ค่อยสะดวก ดังนั้น แบบที่ 2 คือ check email ผ่าน Web site จึงมีผู้นิยมมากที่สุดในโลก เนื่องจากไม่จำเป็นต้องกำหนด Configuration อะไรทั้งสิ้น แค่เพียงคุณสมัครเป็นสมาชิกกับ Web site ที่ให้บริการ แค่จำชื่อ User และ Password เท่านั้น คุณก็สามารถจะตรวจสอบ Email ได้จากที่ต่าง ๆ ทั่วโลก... (การลงทะเบียนเพื่อขอ E-mail แบบที่ 2 นี้จะเป็นการให้บริการฟรี!)


Web site ที่ให้บริการ Email ฟรี ได้แก่
1.www.yahoo.com 
2.www.hotmail.com 
3.www.thaimail.com 
4.www.mweb.co.th


วิธีการใช้งานทั่วไป


1.TO - หมายถึง ชื่อ Email สำหรับผู้รับ
2.FROM - หมายถึง ชื่อ Email สำหรับผู้ส่ง
3.SUBJECT - หมายถึง หัวข้อเนื้อหาของจดหมาย
4.CC - หมายถึงสำเนา Email ฉบับนี้ไปให้อีกบุคคลหนึ่ง
5.BCC - หมายถึงสำเนา Email ฉบับนี้ไปให้อีกบุคคลหนึ่ง แต่ผู้รับ (TO) จะไม่ทราบว่าเราสำเนาให้ใครบ้าง
6.ATTACHMENT - ส่ง file ข้อมูลแนบไปพร้อมกับ Email


เทคนิคการใส่ขื่อ Email
1.ปกติชื่อ Email ประกอบด้วย yourname@it-guides.com เป็นต้น แต่เราสามารถใส่ชื่อของเราเพิ่มเข้าไปได้ด้วย ดังตัวอย่าง Somsri "yourname@it-guides.com"
2.การส่ง Email พร้อมกันหลายคน เราสามารถส่งโดยใช้ช่อง CC ได้ หรือถ้าต้องการส่งในช่อง TO หลายคน เราสามารถใส่เครื่องหมายคอมม่า "," แยกระหว่าง Email ได้

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2557

บทที่ 6 การจัดการกับไวรัส

วิธีการฆ่าไวรัสบนเครื่องคอมพิวเตอร์ (กรณี Office Scan ฆ่าไม่ได้)


ขั้นตอนการทำ Sysclean

1. เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ Log On บนโดเมน TGFOREST (หากทำการ Log On บนโดเมน (Domain)ไม่ได้ ให้ตรวจสอบได้จาก วิธีการ Log On บน Domain)

 2. Map Network Drive โดย Clickขวา ที่ My Netwark Places หรือ Network Neiborhood แล้วเลือกที่ Map Network drive...


3. ช่อง Path ให้ใส่ \\software\sysclean หรือ \\software\sw (หากมีเครื่องหมายถูกหน้าช่อง Reconnect at log on ให้เอาออก)




แล้วกด OK ปุ่ม OK

4. เปิด My Computer Icon My Computer แล้วเข้าไปยัง Driveที่ Map มาจากขั้นตอนใน หัวข้อที่ 2 และ 3





สำหรับ Windows ME มี้วิธีการทำดังนี้

 1. คลิกขวาที่ My Computer บน Desktop และคลิกเลือกที่เมนู Properties



2. คลิกที่ Performance Tab


3. คลิกที่ File System Button


4. คลิกที่ Troubleshooting Tab

5. เลือก Disable System Restore แล้วกด OK

6. คลิก Apply > Close > Close

7. ถอดสายแลนออกก่อนที่จะ Restart เครื่อง



8. เมื่อขึ้นปุ่ม Restart ให้คลิก Yes 

9. กด F8 ขณะที่เครื่องกำลัง Restart ใหม่

10. เลือก Safe Mode แล้วกด Enter จะปรากฎหน้าจอ Safe Mode


11. เมื่อเข้าสู่ Windows ใน Safe Mode แล้ว ให้เข้าไปที่ My Computer Icon My Computer และเข้าไปยัง Folder Sysclean  ที่ Copy ไว้


12. เปิด Program Sysclean ที่ Icon syscleanIcon ที่ใช้เปิด Program Sysclean จะแสดงปรากฎหน้าจอของ Program



แล้วทำการสั่ง Scan โดยกดปุ่ม Scan  หรือกด Enter
13. รอจนกระทั่ง Program Sysclean Scan เสร็จเรียบร้อย ให้ Restart Windows และเข้าสู่ Windows ตามปกติ

14. เมื่อเข้าสู่ Windows แล้วให้ทำการ Scan ด้วย Office Scan อีกครั้งหนึ่ง



5. หลังจากฆ่าไวรัสเรียบร้อยแล้ว ให้อ่านวิธีป้องกันไวรัสได้ที่หน้า วิธีป้องกันไวรัส

สำหรับ Windows XP มีวิธีการทำดังนี้
1. Log on โดยใช้ User ที่เป็น Administrator ของเครื่อง


2. คลิกขวาที่ My Computer บน Desktop และคลิกเลือกที่เมนู Properties



3. คลิกที่ System Restore Tab

4. เลือก Turn Off System Restore

5. คลิก Apply > Yes > OK

7. ถอดสายแลนออกก่อนที่จะ Restart เครื่อง

8. เมื่อขึ้นปุ่ม Restart ให้คลิก Yes

9. กด F8 ขณะที่เครื่องกำลัง Restart ใหม่

10. เลือก Safe Mode แล้วกด Enter จะปรากฎหน้าจอ Safe Mode



11. เมื่อเข้าสู่ Windows ใน Safe Mode แล้ว ให้เข้าไปที่ My Computer Icon My Computer และเข้าไปยัง Folder Sysclean  ที่ Copy ไว้


12. เปิด Program Sysclean ที่ Icon syscleanIcon ที่ใช้เปิด Program Sysclean จะแสดงปรากฎหน้าจอของ Program



แล้วทำการสั่ง Scan โดยกดปุ่ม Scan  หรือกด Enter
13. รอจนกระทั่ง Program Sysclean Scan เสร็จเรียบร้อย ให้ Restart Windows และเข้าสู่ Windows ตามปกติ

14. เมื่อเข้าสู่ Windows แล้วให้ทำการ Scan ด้วย Office Scan อีกครั้งหนึ่ง



15. หลังจากฆ่าไวรัสเรียบร้อยแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

บทที่ 5 แชทออนไลน์

การสนทนาออนไลน์

การสนทนาออนไลน์ หรือ Internet Relay Chat (IRC) หมายถึง โปรแกรมที่ถูกสร้างมาเพื่อการสนทนาเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยการพิมพ์ข้อความผ่านคีย์บอร์ดขึ้นสู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งจะมีชื่อของผู้เล่นและข้อความแสดงขึ้นในหน้าต่างภายในจอคอมพิวเตอร์ของโปรแกรมสนทนา ให้คนอื่น ๆ ที่ร่วมสนทนาในห้องสนทนา (chat room) นั้น ๆ ได้เห็นว่า ผู้เล่นสนทนาคนอื่น ๆ สามารถเข้าสนทนาได้

บริการสนทนาออนไลน์บนอินเทอร์เน็ต เป็นการสื่อสารผ่านข้อความ เสียง และรูปภาพจาก Webcam โดยมีการโต้ตอบกันอย่างทันทีทันใด (real-time) มีลักษณะเดียวกันกับการสนทนาโดยโทรศัพท์ ต่างกันตรงที่ผู้สนทนาจะสื่อสารผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ ในขณะเดียวกันก็สามารถส่งข้อความ ภาพ และเสียงให้กันโดยมีอินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลางในการส่งข้อมูล 
การสนทนาออนไลน์มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลว่าจะใช้งาน ข้อดีที่คือการได้รู้จักผู้คนมากขึ้น ได้แนวความคิดหลากหลาย มองโลกได้กว้างขึ้นโดยที่เป็นการลดช่องว่างด้านเวลา และสถานที่ ทำให้ได้รับรู้ประสบการณ์ของผู้อื่นพร้อมกับเผยแพร่ประสบการณ์ของตัวเองที่เป็นประโยชน์ เผยแพร่และแลกเปลี่ยนความรู้ ข้อมูล ข่าวสารต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ ส่วนข้อเสียเป็นอาการติดสนทนาออนไลน์ไม่สนใจกิจกรรมอื่นนอกจากสนทนาออนไลน์ 
รูปแบบการสนทนาออนไลน์ ในปัจจุบันมีคุณสมบัติพิเศษเพิ่มสีสันการสนทนามากมาย ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดความแตกต่าง ความน่าสนใจ ทำให้เข้ามาสนทนาพูดคุย สามารถแบ่งรูปแบบการสนทนาออนไลน์อย่างกว้าง ๆ ได้เป็น รูปแบบด้วยกัน คือ Web Chat, Web Board และโปรแกรมสนทนาออนไลน์ Web Chat เป็นการสนทนาโดยผ่านเซิร์ฟเวอร์กลาง ซึ่งจะทำให้เกิดกลุ่มสนทนาแล้วทุกคนที่ติดต่อกับเซิร์ฟเวอร์นั้นสามารถได้รับข้อความนั้นได้พร้อม ๆ กัน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าห้องสนทนา (chat room) เป็นการเข้าไปคุยกันในเว็บที่จัดให้บริการ เป็นการคุยตอบโต้ระหว่างกันผ่านเซิร์ฟเวอร์ โดยใช้บราวเซอร์ปกติ รูปแบบ และบรรยากาศของห้องคุยก็จะขึ้นอยู่กับผู้สร้างสรรค์เว็บบริการนั้น ๆ ว่าให้ความน่าสนใจมากน้อยเพียงใด ซึ่งแต่ละห้องจะมีคนพูดคุยพร้อม ๆ กันหลายคน

 รูปแบบการสนทนาออนไลน์ (Chat)

 การสนทนาออนไลน์ผ่านเซิร์ฟเวอร์กลาง

วิธีการสนทนาออนไลน์ผ่านทางเซิร์ฟเวอร์กลาง จะมีเทคนิคเพื่อให้เลือกใช้บริการดังนี้1. การสนทนาออนไลน์ผ่านโปรแกรม คือ ลักษณะการสนทนาด้วยข้อความในห้องสนทนาโดยใช้โปรแกรมของแต่ละเครื่องของผู้ใช้ มีเซิร์ฟเวอร์มากมาย เช่น PIRCH,mIRC และ Comic Chat

2. การสนทนาออนไลน์ผ่านเว็บ (Web Chat) คือ รูปแบบของการนำวิธีการทำงานบนเว็บเซิร์ฟเวอร์มาทำให้เกิดห้องสนทนา บนเว็บเพจของผู้ที่เข้าไปใช้บริการ โดยไม่ต้องมีโปรแกรมรันอยู่บนเครื่องของผู้สนทนา ปัจจุบันการสนทนาออนไลน์ผ่านเว็บได้นำเทคโนโลยี จาวา (Java) มาใช้เขียนโปรแกรม

ขั้นตอนการสนทนาแบบ Chat Room 1.พิมพ์ URL ที่ช่อง Address: htt://www.sanook.com 2.คลิกเลือกที่ คุยสด จะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ

Java Chat ซึ่งจะต้องติดตั้งโปรแกรม Java Applet ก่อน จึงจะสามารถสนทนารูปแบบนี้ได้Classic Chat เป็นรูปแบบดั้งเดิของการสนทนาออนไลน์โดยผ่ามเซิร์ฟเวอร์ สามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมใดๆเพิ่มเติม

3.เมื่อเลือก Ciassic Chat จะมีรายชื่อของห้องสนทนาต่างๆภายในเซิร์ฟเวอร์แสดงออกมาให้ผู้ใช้ได้เลือกตามควมสนใจ เพื่อจะได้เข้าไปคุยกับเพื่อนๆภายในห้องสนทนาที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน

4.เมื่อเลือกห้องที่ต้องการสนทนาได้แล้ว จะปรากฎเว็บเพจในการแนะนำวิธีการ Log on เพื่อขอใช้บริการ พร้องทั้ให้พิมพ์ชื่อ และสีของข้อควมที่ต้องการใช้ระหว่างการสนทนจา เมื่อกำหนดเรียบร้อยแล้วให้คลิกที่ "เข้าห้อง"

5.เมื่อเข้าไปภายในห้องสนทนาแล้ว จะปรากฎชื่อของสมาชิกทั้งหมดภายในห้องสนทนานี้ และการสนทนาสามารถเลือกได้ว่าจะส่งข้อความถึงใคร หรือส่งถึงทุกคนภายในห้องก็ได้ แต่ขอความที่แสดงบนหน้าจอ ทุกคนที่อยู่ภายในห้องสนทนานั้นจะเห็นด้วยกันทั้งหมด

6.เมื่อเลิกผู้สนทนาที่เราต้องการส่งข้อความถึงแล้วนั้น เราก็ทำการพิมพ์ข้อความที่ต้องการจะส่งไป แล้วเลือกคลิกที่ Update ข้อความของเราจะไปปรากฎบนหฟน้าจดของทุกคนที่ใช้ห้องสนทนานี้

7.เมื่อต้องการออกจากหน้าสนทนา ให้คลิก Log off

8.เพียงการทำงานตามขั้นตอนนี้ เราก็สามารถไปห้องสนทนายังห้องต่างๆได้โดยไม่ต้องทำการลงทะเบียนสมัครป็นสมาชิของเว็บไซต์ที่ให้บริการเหล่านั้น และเมื่อทำการ Logoff ออกจากห้องสนทนาห้องใดห้องหนึ่งแล้ว ก็สามารถที่จะเปลี่ยนไปสนทนายังห้องอื่นๆต่อไปได้อีก

การสนทนาออนไลน์โดยตรงระหว่างผู้ใช้อินเทอร์เน็ต

การสนทนาออนไลน์รูปแบบนี้จะไม่ต้องผ่านเซิร์ฟเวอร์ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “การรับส่งสารแบบทันทีทันใด” หรือ Instant Messaging เช่นโปรแกรม ICQ,MSN Messenger, Yahoo Messenger, Windows Messenger เป็นต้น จะเป็นรูแบบของการสนทนาแบบตัวต่อตัว มิใช่ลักษณะการสนทนาในแบบห้องสนทนา




วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

บทที่ 4 กำหนดการรักษาความปลอดภัยและการปรับแต่งระบบ

ไฟร์วอลล์ คือ
ซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ที่ตรวจสอบข้อมูลซึ่งมาจากอินเตอร์เน็ตหรือเครือข่าย จากนั้นอาจบล็อกข้อมูลนั้นหรือปล่อยให้ข้อมูลนั้นผ่านเข้ามายังคอมพิวเตอร์ ของคุณทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าไฟร์วอลล์ของคุณ
ไฟร์วอลล์จะช่วยป้องกันไม่ให้แฮกเกอร์หรือซอฟต์แวร์ที่ เป็นอันตราย (เช่น หนอน) เข้าถึงคอมพิวเตอร์ของคุณผ่านทางเครือข่ายหรืออินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ไฟร์วอลล์ยังช่วยหยุดไม่ให้คอมพิวเตอร์ของคุณส่งซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตรายไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นอีกด้วย
ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่มีประสบการณ์มักจะใช้โปรแกรมไฟร์วอลล์จาก Third-Party (ซอฟต์แวร์ที่ไม่ใช่บริษัทไมโครซอฟต์) สำหรับบางท่านอาจจะไม่แน่ใจในโปรแกรมเหล่านี้หรือไม่รู้จัก ผมจะบอกให้ว่าความจริงแล้วใน Windows 7 ก็มีไฟร์วอลล์มาให้อยู่แล้ว เพียงแต่ท่านไม่ทราบ

วิธีการต่อไปนี้จะเป็นการเปิดใช้ไฟล์วอลล์ของ  Windows 7
 1.ให้คลิกที่ปุ่ม Start พิมพ์ allow ลงในช่อง Search จะเห็นว่ามีรายการ Allow a program or featurethrough Windows Firewall ให้เลือกที่รายการนี้ (Enter หรือ คลิกที่รายการ)


2.จะมีหน้าต่าง Allowed Programs แสดงออกมาและมีรายการที่ Windows ตั้งเป็นดีฟอลต์อยู่ คุณสามารถเปิดให้ไฟล์วอลล์ทำงานโดยคลิกที่ปุ่ม Change Settings ถ้าพบว่าที่ Change Settings เป็นสีเทา นั้นแสดงว่าไฟลวอลล์ได้เปิดทำงานแล้ว


3.มาปรับแต่งหรือเพิ่มรายการโปรแกรมในเครื่องที่คุณต้องการป้องกันได้โดยคลิกที่ปุ่ม Allow another program…


4.ที่หน้าต่าง Add a Program ให้คลิกเลือกโปรแกรมที่ต้องการป้องกัน แล้วคลิกที่ปุ่ม Add จะกลับมาที่ต่างหน้า Allowed Programs เพื่อให้คุณกำหนดการป้องกันในลักษณะ Home/Work/Private และหรือ Public ทั้งนี้คุณยังสามารถลบการป้องกันรายการได้โดยคลิกเลือกในรายการ แล้วคลิกที่ปุ่ม Remove
5.เมื่อปรับแต่งเพิ่มเติมเสร็จแล้วก็ให้คลิก OK อันเป็นเรียบร้อยในการให้ไฟล์วอลล์ของWindows ทำงานตามความต้องการของคุณ
มาติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัย เพื่อป้องกันบุคคล ที่ไม่ได้รับอนุญาตไม่ให้เข้ามาทำลายข้อมูล หรือนำ ข้อมูลที่เป็นความลับออกไป
แม้ระบบเครือข่ายที่ปลอดภัยที่สุดคือระบบเครือข่ายที่ไม่มีการเชื่อมต่อกับภาย นอกเลย แต่องค์กรของคุณไม่ควรทำเหมือนกับการปิดประเทศเช่นนั้น เพราะ การเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจะช่วยให้องค์กรสามารถติดต่อกับบุคคล และองค์กรอื่น ๆ ทั่วโลกได้โดยง่าย แม้จะเป็นดาบสอบคมที่อาจเป็นช่องทางให้ บุคคลที่ไม่หวังดีเข้ามายังเครือข่ายภายในองค์กร (อินทราเน็ต) ได้ด้วยเช่นกัน แต่มีวิธีที่ดีกว่านั้นคือ การติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยที่เรียกว่า ไฟร์วอลล์ (Firewall) เพื่อป้องกันบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตไม่ให้เข้ามาทำลายข้อมูล หรือ นำข้อมูลที่เป็นความลับออกไปได้
ไฟร์วอล คือระบบรักษาความปลอดภัยบนเครือข่ายที่ใช้เทคโนโลยีอิน เทอร์เน็ต รวมทั้งอินทราเน็ต และเอ็กซ์ทราเน็ตโดยไฟร์วอลล์จะถูกติด ตั้งคั่นกลางระหว่างเครือข่ายภายใน (เครือข่ายที่ได้รับความไว้วางใจ” หรือ Trusted Network) ที่ต้องการป้องกันกับเครือข่ายอื่นภายนอก (เครือข่ายที่ไม่ได้รับความไว้วางใจ” หรือ Untrusted Network) เช่น ระหว่างเครือข่ายภายในขององค์กรกับอินเทอร์เน็ต หรือระหว่างเครือ ข่ายของหน่วยงานย่อยภายในองค์กรกับเครือข่ายของหน่วยงานอื่น ๆ ภายในองค์กรเดียวกัน (เช่น ระหว่างเครือข่ายของฝ่ายทรัพยากรบุคคล กับเครือข่ายกลางของบริษัท) เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลที่ส่งผ่านเข้า ออกจากเครือข่ายว่าได้รับสิทธิในการผ่านนั้นหรือไม่ ตามกฎเกณฑ์ ความปลอดภัยที่ผู้ดูแลเครือข่ายภายในกำหนดเอาไว้ได้จากจุดเดียวช่วย ให้ทำการดูแลระบบเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประเภทของไฟร์วอลล์ ไฟร์วอลล แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. Packet Filtering
2. Application Gateway
3. Stateful Inspection

1. Packet Filtering คือ การกรองแพ็กเกตว่ามาจากไหน ไปที่ไหน(โดยวิเคราะห์เลขที่อยู่ ไอพีต้นทาง และปลายทาง) และใช้พอร์ตใด อนุญาตให้ผ่านเข้าออกได้หรือไม่ ไฟร์วอลล์ประเภทนี้ นี้เป็นความสามารถของเราเตอร์หลายๆ ตัว มีข้อดีตรงที่ราคาไม่แพงไม่จำกัดจำนวนไคลเอนต์มีผล กระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของเครือข่ายน้อยแต่มีข้อเสียคือใช้บรรทัดคำสั่ง(Command Line) ในการกำหนดกฎเกณฑ์ ทำให้ปรับแต่งยากและเกิดความผิดพลาดได้ง่าย นอกจากนี้มียังมีจุดอ่อนต่อ ต่อการปลอมแปลงเลขที่อยู่ไอพี (IP Address Spoofing) อีกด้วย

2. Application Gateway คือการตรวจสอบในระดับที่สูงขึ้น โดยทำหน้าที่เป็นตัวแทนของ โปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ เช่น WWW(HTTP), Mail (SNMP), FTP, Telnet, News (NNTP), Finger และ Proxy เป็นต้น กล่าวคือ เป็นเซิร์ฟเวอร์ให้กับโปรแกรมประยุกต์ทางฝั่งโคลเอนต์ เป็นโคลเอนต์ ให้กับโปรแกรมประยุกต์ทางฝั่งเซิร์ฟเวอร์ จึงสามารถควบคุมการใช้งานแต่ละ โปรแกรมประยุกต์ได้ เช่น บน FTP ให้ put ได้แต่ get ไม่ได้ เป็นต้น มักมีการ เชื่อมประสานกับผู้ใช้แบบกราฟิก (Graphical User Interface หรือ GUI) ทำให้ ปรับแต่งได้ง่ายและสะดวก ตัวอย่างระบบไฟร์วอลล์ ประเภทนี้ เช่น Eagle จาก Raptor, Gauntlet จาก Trusted Information Systems และ Alta Vista Firewall จาก Digital เป็นต้น นอกจากนี้ส่วนใหญ่จะมีความสามารถในการ แปลงเ ล ขที่อยู่ไอพี (Network Address Translation หรือ NAT) เพื่อป้องกันเลขที่อยู่ไอพีภายในไม่ให้ปรากฎสู่ผู้ ใช้ภายนอกซึ่งจะมองเห็นเลขที่อยู่ไอพีของ ไฟร์วอลล์เพียงตัวเดียวเท่านั้นได้อีกด้วย ข้อเสียของ ไฟร์วอลล์ประเภทนี้คือ ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของเครือข่ายลดลง และต้องรอการปรับปรุง เพื่อรองรับโปรแกรมประยุกต์ใหม่ ๆ อย่างไรก็ดี หากใช้เพื่อแบ่งอาณาเขตระหว่างเครือข่ายขององค์กร กับอินเทอร์เน็ตก็ไม่ต้องกังวลกับประสิทธิภาพเท่าใดนัก เพราะโดยทั่วไปช่วงกว้างแถบสัญญาณของ การเชื่อมโยงจะต่ำ แต่ถ้าใช้เพื่อกั้นระหว่าง แผนกต่าง ๆ ภายใน ก็ควรเลือกใช้ชนิดที่เป็นฮาร์ดแวร์ ความเร็วสูงเช่น PIX Firewall ของ Cisco หรือ Seattle Software เป็นต้น

3. Stateful Inspection ของ Check Point Software Technologies เป็นการรวม ข้อดีของ Packet Filtering และ Application Gateway เข้าด้วยกัน กล่าวคือขั้น แรกจะตรวจสอบแพ็กเกต ก่อน ซึ่งจะกันออกไปได้ส่วนหนึ่ง แล้วจึงตรวจสอบแพ็กเกตที่เหลือทั้งแพ็กเกตว่าอยู่ในสภาวะที่ เป็นมิตรหรือไม่ ตัวอย่างของระบไฟร์วอลล์ประเภทนี้ เช่น FireWall-1 ของ Check Point PIX Firewall Cisco, On Guard ของ On Technology และ Firewall/Plus ของ Network-1 เป็นต้น

วิธีการปรับการตั้งค่า Internet Explorer

เมื่อต้องการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ให้ใช้วิธีการต่อไปนี้ในการ ใบสั่งที่ใช้ในการแสดง
วิธีที่ 1: ล้างแคข้อมูลใน Internet Explorer
เมื่อต้องการตรวจสอบว่า ปัญหาเกี่ยวกับประสิทธิภาพหรือข้อผิดพลาด สาเหตุมาจากความเสียหาย ในแฟ้มชั่วคราวของอินเทอร์เน็ต หรือ ในที่อื่น ๆ แคช ข้อมูลที่ถูกใช้ โดย Internet Explorer คุณต้องล้างข้อมูลที่เก็บไว้ชั่วคราว เมื่อต้องการ ทำเช่นนี้ การทำตามขั้นตอนเหล่านี้:

Internet Explorer 7
1.             เปิด Internet Explorer 7
2.             คลิก เครื่องมือแล้ว คลิก ลบ ประวัติการเรียกดู.
3.             ใน ลบประวัติการเรียกดูคลิกลบทั้งหมด.
4.             คลิกเพื่อเลือก ลบแฟ้มและการตั้งค่า การจัดเก็บ โดยโปรแกรม add-on กล่องกาเครื่องหมาย จากนั้น คลิก ตกลง.

Internet Explorer 8
1.             เปิด Internet Explorer 8
2.             คลิก ความปลอดภัยแล้ว คลิก ลบประวัติการเรียกดู.
3.             ในลบประวัติการเรียกดู พื้นที่ คลิก ลบ.
แสดงแถบความคืบหน้าการเพื่อบ่งชี้ว่า การเรียกดู จะมีการล้างข้อมูลประวัติ หลังจากกระบวนการนี้เสร็จสมบูรณ์ ทดสอบทางอินเทอร์เน็ต Explorer เพื่อตรวจสอบว่า โปรแกรมทำได้อย่างถูกต้อง ถ้าปัญหายังคงเกิดขึ้น ให้ลองวิธีที่ 2

วิธีที่ 2: ตั้งค่าการรักษาความปลอดภัยสำหรับ Internet Explorer ใหม่
ถ้าคุณตั้งค่าคอนฟิกการตั้งค่าความปลอดภัยที่จะจำกัดเกินไป คุณอาจ ป้องกันไม่ให้ Internet Explorer แสดงเว็บไซต์บางเว็บไซต์ เมื่อต้องการตรวจสอบ ว่าปัญหาเกิดขึ้นจากการตั้งค่าความปลอดภัยที่จำกัด overly ย้อนกลับไป การตั้งค่าความปลอดภัยเริ่มต้น เมื่อต้องการทำเช่นนี้ ให้ทำตามขั้นตอนเหล่านี้:
1.             เปิด Internet Explorer
2.             คลิก เครื่องมือแล้ว คลิกตัวเลือกอินเทอร์เน็ต.
3.             คลิก รักษาความปลอดภัย แท็บ
4.             คลิก การตั้งค่าใหม่เขตพื้นที่ทั้งหมดไปยังระดับเริ่มต้นจากนั้น คลิก ตกลง.
หลังจากที่คุณทำเช่นนี้ ทดสอบ Internet Explorer เพื่อตรวจสอบว่า โปรแกรมทำได้อย่างถูกต้อง ถ้าปัญหายังคงเกิดขึ้น ลองวิธีที่ 3

หมายเหตุ ถ้าวิธีการนี้ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ คุณสามารถคืนค่า Internet Explorer เพื่อให้ระดับการรักษาความปลอดภัยของก่อนหน้านี้
วิธีที่ 3: เรียกใช้ Internet Explorer ในโหมด "ไม่มี Add-on"
Add-on ของ Internet Explorer เช่นตัวควบคุม ActiveX และเบราว์เซอร์ ใช้แถบเครื่องมือ โดยบางเว็บไซต์เพื่อให้สามารถเรียกดูมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประสบการณ์การใช้งาน มีข้อผิดพลาดอาจเกิดขึ้น หาก add-on มีความเสียหาย หรือแอดออน ความขัดแย้งกับ Internet Explorer เมื่อต้องการตรวจสอบว่า ข้อผิดพลาดที่เกิดจาก add-on เรียกใช้ Internet Explorer ในโหมด "ไม่มี Add-on" เมื่อต้องการทำเช่นนี้ ให้ปฏิบัติตาม ขั้นตอนเหล่านี้:
1.             คลิก เริ่มการทำงานจากนั้น พิมพ์Internet Explorer ในการ เริ่มต้นค้นหากล่อง
2.             คลิก Internet Explorer (ไม่มี Add-on). เปิด Internet Explorer โดยไม่มี add-on แถบเครื่องมือ หรือปลั๊กอิน
3.             ทดสอบ Internet Explorer เพื่อตรวจสอบว่า โปรแกรมทำได้อย่างถูกต้อง ถ้าปัญหายังคงเกิดขึ้น ลองวิธีที่ 4
ถ้าไม่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ปัญหาเกิดจากรายใดรายหนึ่งของ add-on ซึ่งโดยทั่วไปจะโหลดพร้อมกับ Internet Explorer ในกรณีนี้ ใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง ตัวเลือกต่อไปนี้
ตัวเลือกที่ 1: ตั้งค่า Internet Explorer
การตั้งค่า Internet Explorer เพื่อแสดงการตั้งค่าคอนฟิกค่าเริ่มต้น นอกจากนี้ขั้นตอนนี้จะปิดใช้งานใด ๆ โปรแกรม add-on ปลั๊กอิน หรือแถบเครื่องมือที่มีการติดตั้ง ถึงแม้ว่าการแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างรวดเร็ว นั่นยังหมายถึง ว่า ถ้าคุณต้องการใช้อย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าวโปรแกรม add-on ในอนาคต พวกเขาต้องต้องติดตั้งใหม่ เมื่อต้องการตั้งค่าการตั้งค่า Internet Explorer ใหม่ ใช้วิธีที่ 4
ตัวเลือกที่ 2: ใช้ตัวจัดการ Add-on เครื่องมือเพื่อดูว่า add-on ตัวใดเป็นสาเหตุของปัญหา
ใช้เครื่องมือ Manage Add-ons ใน Internet Explorer แต่ละ add-on เพื่อดูว่า add-on ตัวใดเป็นสาเหตุของข้อผิดพลาดที่ปิดใช้งานแต่ละรายการ เมื่อต้องการทำเช่นนี้ ให้ทำตามขั้นตอนเหล่านี้:

Internet Explorer 7
1.             เปิด Internet Explorer 7
2.             คลิก เครื่องมือชี้ไปที่ จัดการ โปรแกรม add-onแล้ว คลิก เปิดหรือปิดใช้งาน Add-on.
3.             ในการ แสดง กล่อง การเลือก โปรแกรม add-on ที่ถูกใช้ โดย Internet Explorer เมื่อต้องการแสดง add-on ทั้งหมดที่ มีการติดตั้งบนคอมพิวเตอร์
4.             สำหรับแต่ละสินค้าในรายการนี้ ให้เลือก add-on จากนั้น คลิก ปิดการใช้งาน ภายใต้หัวข้อ การตั้งค่า.
5.             เมื่อคุณได้ปิดใช้งานรายการทั้งหมดในรายการนี้ คลิกตกลง.
6.             จบการทำงาน และเริ่มระบบของ Internet Explorer 7 ใหม่
7.             ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น ทำซ้ำขั้นตอนที่ 1 ถึง 3
8.             คลิก เปิดการใช้งาน สำหรับเพียงอย่างเดียว add-on
9.             ทำซ้ำขั้นตอนที่ 6 ถึง 8 จนกว่าคุณกำหนดว่า add-on ตัวใด ทำให้เกิดข้อผิดพลาดเกิดขึ้น
Internet Explorer 8
1.             เปิด Internet Explorer 8
2.             คลิก เครื่องมือแล้ว คลิก จัดการ Add-on.
3.             บนเครื่อง แสดง เมนูแบบหล่นลง เลือก Add-on ทั้งหมด เมื่อต้องการแสดง add-on ทั้งหมดที่ติดตั้งไว้บนคอมพิวเตอร์
4.             สำหรับแต่ละสินค้าในรายการนี้ เลือก add-on และคลิ กปิดการใช้งาน ในหน้าต่างรายละเอียด
5.             เมื่อคุณได้ปิดใช้งานรายการทั้งหมดในรายการนี้ คลิก ตกลง.
6.             จบการทำงาน และเริ่ม Internet Explorer ใหม่
7.             ถ้าปัญหาไม่เกิด ทำซ้ำขั้นตอนที่ 1 ถึง 3
8.             คลิกเปิดการใช้งาน สำหรับ add-on ตัวเดียว
9.             ทำซ้ำขั้นตอนที่ 6 ถึง 8 จนกว่าคุณกำหนดว่า add-on ตัวใดเป็นสาเหตุของข้อผิดพลาดเกิดขึ้น
หลังจากที่คุณได้ใช้กระบวนการนี้เพื่อกำหนดว่า add-on ตัวใดเป็นสาเหตุของข้อผิดพลาด คุณสามารถปิดใช้งาน add-on นั้น หรือ คุณสามารถถอนการติดตั้งซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งโปรแกรม add-on เรายังแนะนำให้ คุณติดต่อผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์ที่ให้ add-on สำหรับการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นและการสนับสนุนเพิ่มเติม

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรม add-on ของ Internet Explorer ให้ดู บทความต่อไปนี้ในวิธีใช้ของ Windows:
วิธีที่ 4: การตั้งค่าการตั้งค่า Internet Explorer
เมื่อต้องการตรวจสอบว่า ปัญหาเกี่ยวกับประสิทธิภาพหรือข้อผิดพลาด สาเหตุมาจากการตั้งค่าการตั้งค่าคอนฟิก การตั้งค่า Internet Explorer เป็นค่าเริ่มต้น การกำหนดค่า ซึ่งไม่อยู่ในสถานะเมื่อมีการติดตั้ง Windows Vista ไว้ตั้งแต่ต้นว่า
เมื่อต้องการให้เราในการรีเซ็ตการตั้งค่า Internet Explorer ให้คุณ ไป "
การตั้งค่า Internet Explorer ให้ฉัน"ส่วน เมื่อต้องการตั้งค่า Internet Explorer ใหม่ ด้วยตัวคุณเอง ไป "ให้ฉันตั้งค่าใหม่ของ Internet Explorer เอง"ส่วน
การตั้งค่า Internet Explorer ให้ฉัน
เมื่อต้องการตั้งค่าการตั้งค่าโดยอัตโนมัติ คลิก Internet Explorerการตั้งค่า Internet Explorer ใหม่ปุ่มหรือการเชื่อมโยง คลิกเรียกใช้ ในการการดาวน์โหลดแฟ้ม โต้ตอบกล่อง และทำตามขั้นตอนในการแก้ไขอัตโนมัตินั้นตัวช่วยสร้าง

วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557

บทที่ 3 เทคนิคท่องเข้าเว็บด้วย internet explorer

บทที่ 3 เทคนิคการท่องเว็บด้วย Internet Explorer

เมื่อเราเข้าชมเว็บไซต์ต่างๆ บนอินเทอร์เน็ตได้แล้ว ในบทนี้จะเพิ่มเทคนิคพิเศษให้การท่องเว็บของเรามีความสะดวกมากยิ่งขึ้น เช่น การจัดการ URL ของเว็บที่ชื่นชอบ, วิธีลัดในการเปิดเว็บ เป็นต้น

จัดเก็บ URL เว็บเพจชื่นชอบ
                       
           แทนที่จะต้องจำ URL ของเว็บเพจที่ชอบ เราสามารถบันทึกไว้เป็น Favorite เพื่อครั้งต่อไปจะกลับไปเปิดหน้าเว็บนี้ได้ทันที และในเวอร์ชั่นนี้ได้แยกส่วนของ Favorites ไว้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเราอีกด้วย

 
หลังจากที่เราได้บันทึกตำแหน่งเว็บเพจที่ชอบ จะปรากฏชื่อเว็บเพจนั้นในรารยการ Favorite ซึ่งเราสามารถกลับไปเยี่ยมชมเว็บเพจนั้นได้อย่างรวดเร็ว โดยการเลือกชื่อเว็บเพจที่ต้องการได้เลย



จัดหมวดหมู่ Favorites
         เมื่อเว็บเพจที่จัดเก็บไว้ใน Favorites มีจำนวนมาก เราควรจัดรายชื่อเว็บเพจให้เป็นหมวดหมู่เพื่อให้สามารถเรียกใช้งานได้ง่ายขึ้น

การเพิ่มหมวดหมู่ใหม่ใน Favorites                                                                                                                    เป็นการสร้างหมวดหมู่ให้กับเว็บเพจ เพื่อการค้นหาจะทำได้สะดวก


ย้ายเว็บเพจเก็บในหมวดหมู่ใหม่
      ให้ลากเว็บเพจที่บันทึกไว้ไปเก็บในโฟล์เดอร์ที่สร้าง ดังนี้


สร้างทางลัดในการเรียกเว็บเพจ
วิธีที่ 1 สร้างปุ่มในแถบเครื่องมือสำหรับเรียกเว็บเพจที่ชอบ

           เราสามารถสร้างปุ่มในแถบเครื่องมือ Links สำหรับเรียกเว็บเพจที่ต้องการเปิดดูได้อย่างถูกต้อง โดยให้คลิกเมาส์เข้าอินเตอร์เน็ต ในช่อง Address และลากเมาส์มาที่แถบเครื่องมือ Links

วิธีที่ 2 สร้างชอร์ทคัท (Shortcut) เรียกเว็บเพจ
     
         เป็นการดึง URL ของเว็บเพจมาสร้างเป็นชอร์ทคัทไอคอนบนหน้าเดสก์ทอป เพื่อใช้ดับเบิ้ลคลิกเรียกเปิดเว็บเพจนั้นได้อย่างรวดเร็ว


บล๊อคป๊อปอัพแอดโฆษณา
     
           ป๊อปอัพ เป็นหน้าต่างเว็บเพจใหม่ที่ได้เปิดขึ้นมาในระหว่างที่เรากำลังท่องเว็บอยู่ เนื่องจากป๊อปอัพส่วนใหญ่จะเป็นโฆษณาที่มักสร้างความรำคาญใจให้กับผู้ชม ดังนั้นใน Internet Explorer จึงทำการปิดกั้นป๊อปอัพไว้ โดยจะมีแถบ Information bar แจ้งข้อความให้ทราบว่าได้มีการบล๊อคป๊อปอัพไว้ ซึ่งเราสามารถคลิกอนุญาตให้แสดงหรือละเลยป๊อปอัพนี้ก็ได้

ปิด Pop - up Blocker 

         สำหรับนักท่องเว็บที่ไม่ค่อยรำคาญกับป๊อปอัพ สามารถปิดการทำงานของ Pop - up Blocker เพื่ออนุญาตให้ป๊อปอัพจากทุกเว็บไซต์เปิดขึ้นมาได้ โดยไม่ต้องไปคลิกอนุญาตทีละตัว

ปิด Pop - up Blocker 

        เมื่อท่องเว็บไปนาน ๆ อยากเปลี่ยนใจกลับมาบล๊อคป๊อปอัพใหม่อีกครั้ง ก็สามารถทำได้เช่นกัน

กำหนดให้แสดงป๊อปอัพเฉพาะบางเว็บ

       สำหรับเว็บที่เข้าบ่อย ๆ และมีป๊อปอัพโฆษณาที่เป็นประโยชน์ เราสามารถอนุญาตให้เปิดป๊อปอัพจากเว็บไซต์เหล่านี้ได้ โดยโปรแกรมยังคงบล๊อคเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ต่อไป

เตือนภัยซ่อนเร้นที่เกิดจากการดาวน์โหลดไฟล์ 

      เมื่อมีเว็บไซต์ที่พยายามจะดาวน์โหลดไฟล์เข้าสู่เครื่องของเรา โดยที่ไม่ได้รับการอนุญาต Internet Explorer จะแจ้งเตือนให้เราทราบใน Information bar และจะหยุดการดาวน์โหลดของเว็บไซต์นี้เอาไว้ก่อนจนกว่าจะได้รับการยืนยัน

History ย้อนประวัติกลับไปหน้าเว็บที่เคยเยี่ยมชม

       History เป็นรายการแสดงชื่อของหน้าเว็บที่เราได้เคยเปิดเยี่ยมชม โดยได้แบ่งเก็บตามเวลาที่เราเข้าไปเยี่ยมชม โดยเราสามารถคลิกชื่อเพื่อย้อนกลับไปดูหน้าเว็บที่เคยเปิดดูได้


ค้นหาและโหลดข้อมูลที่ต้องการ 
   
     ทุกครั่งที่เราจะเข้าไปดูข้อมูลในเว็บไซต์ใดเราก็ต้องรู้ที่อยู่  (URL)  ของเว็บนั้นด้วย แต่ถ้าเราไม่ทราบว่าข้อมูลที่ค้นหาน่าจะอยู่ที่เว็บไซต์ใดก็ต้องพึ่งพาเว็บไซต์ที่ช่วยค้นหาข้อมูล เช่น  www.google.co.th  โดยการป้อนคำที่ต้องการค้นหา เว็บไซต์ค้นหาข้อมูลก็จะแสดงลิงค์ของหน้าเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง พร้อมรายละเอียดเบี้องต้นมาให้ เพื่อให้เราคลิกเมาส์ที่ลิงค์เพื่อไปยังหน้าเว็บเพจนั้น ๆ ได้ทันที



การค้นหาข้อมูลด้วย Google 

     http://www.google.co.th/ เป็นเว็บไซต์ที่ช่วยให้เราค้นหาได้ทั้งข้อมูลและภาพต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่สำคัญเรายังสามารถค้นหาเป็นภาษาไทยได้อีกด้วย


ค้นหาเว็บไซต์ที่เราต้องการ 

      เราสามารถพิมพ์คำที่เราต้องการค้นหาลงไปในช่องว่าง ในตัวอย่างจะพิมพ์คำว่า "ฟังเพลง" เพื่อค้นหาเว็บเพจที่เกี่ยวข้องกับเพลง


       หากต้องการค้นหาแบบเร่งด่วน แนะนำให้เลือก "ดีใจจัง ค้นแล้วเจอเลย" เพราะจะทำการค้นหาและเปิดเว็บเพจที่ต้องการให้เราทันทีที่ค้นเจอ


ค้นหาภาพที่เราต้องการ




เซฟเป็นไฟล์ภาพ


      เมื่อเปิดเว็บเพจและเจอภาพสวยที่ถูกใจ เราสามารถเก็บภาพนี้ไปใช้งานได้ เป็นขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากเพียงคลิกขวาที่ภาพเลือก Save Picture As...


การค้นหาและโหลดโปรแกรมฟรี 

      เว็บไซต์ www.download.com เป็นแหล่งรวมโปรแกรมดาวน์โหลดให้มาทดลองใช้งาน หรือนำมาใช้งานได้ฟรี ดังตัวอย่างเราจะลองโหลดโปรแกรม winrar มาไว้ในเครื่องของเรา



สรุป

      ในบทนี้เราได้เรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ ในการใช้งาน Internet Explorer ได้แก่ การจัดเก็บ URL ไว้เรียกดูภายหลัง การจัดรายชื่อเว็บเพจไว้เป็นหมวดหมู่ การบล๊อคป๊อปอัพโฆษณา การย้อนประวัติกลับไปหน้าเว็บที่เคยเยี่ยมชม และเทคนิคการใช้งาน Google ค้นหาข้อมูล

วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2557

บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ต

ความหมายของอินเทอร์เน็ต

อินเทอร์เน็ต ( Internet ) คือ เครือข่ายของคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกเข้าด้วยกัน โดยอาศัยเครือข่ายโทรคมนาคมเป็นตัวเชื่อมเครือข่าย ภายใต้มาตรฐานการเชื่อมโยงด้วยโปรโตคอลเดียวกันคือ TCP/IP (Transmission Control Protocol / Internet Protocol) เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในอินเทอร์เน็ตสามารถสื่อสารระหว่างกันได้ นับว่าเป็นเครือข่ายที่กว้างขวางที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากมีผู้นิยมใช้ โปรโตคอลอินเทอร์เน็ตจากทั่วโลกมากที่สุด




อินเทอร์เน็ตจึงมีรูปแบบคล้ายกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระบบ WAN แต่มีโครงสร้างการทำงานที่แตกต่างกันมากพอสมควร เนื่องจากระบบ WAN เป็นเครือข่ายที่ถูกสร้างโดยองค์กรๆ เดียวหรือกลุ่มองค์กร เพื่อวัตถุประสงค์ด้านใดด้านหนึ่ง และมีผู้ดูแลระบบที่รับผิดชอบแน่นอน แต่อินเทอร์เน็ตจะเป็นการเชื่อมโยงกันระหว่างคอมพิวเตอร์นับล้านๆ เครื่องแบบไม่ถาวรขึ้นอยู่กับเวลานั้นๆ ว่าใครต้องการเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตบ้าง ใครจะติดต่อสื่อสารกับใครก็ได้ จึงทำให้ระบบอินเทอร์เน็ตไม่มีผู้ใดรับผิดชอบหรือดูแลทั้งระบบ


ความเป็นมาของอินเทอร์เน็ต อินเตอร์เน็ต มีพัฒนาการมาจาก อาร์พาเน็ต (Arp Anet เรียกสั้น ๆ ว่า อาร์พา) ที่ตั้งขึ้นในปี 2512 เป็นเครือข่ายคอมพิวเคอร์ของกระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา ที่ใช้ในงานวิจัยด้านทหาร (ARP : Advanced Research Project Agency)มาถึงปี 2515 หลังจากที่เครือข่ายทดลองอาร์พาประสบความสำเร็จอย่างสูง และได้มีการปรับปรุงหน่วยงานจากอาร์พามาเป็นดาร์พา (Defense Advanced Research Project Agency: DARPA)   และในที่สุดปี 2518 อาร์พาเน็ตก็ขึ้นตรงกับหน่วยการสื่อสารของกองทัพ (Defense Communication Agency) ในปี 2526 อาร์พาเน็ตก็ได้แบ่งเป็น 2 เครือข่ายด้านงานวิจัย ใช้ชื่ออาร์พาเน็ตเหมือนเดิม ส่วนเครือข่ายของกองทัพใช้ชื่อว่า มิลเน็ต (MILNET : Millitary Network)
 ซึ่งมีการเชื่อมต่อโดยใช้ โพรโตคอล TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet) เป็นครั้งแรกในปี 2528 มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติของอเมริกา (NSF) ได้ ให้เงินทุนในการสร้างศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ 6 แห่ง และใช้ชื่อว่า NSFNETและพอมาถึงปี 2533 อาร์พารองรับภาระที่เป็นกระดูกสันหลัง (Backbone) ของระบบไม่ได้ จึงได้ยุติอาร์พาเน็ต และเปลี่ยนไปใช้ NSFNET และเครือข่ายขนาดมหึมา จนถึงทุกวันนี้ และเรียกเครือข่ายนี้ว่า อินเตอร์เน็ต โดยเครือข่ายส่วนใหญ่จะอยู่ในอเมริกา และปัจจุบันนี้มีเครือข่ายย่อยมากถึง 50,000 เครือข่ายทีเดียว และคาดว่า ภายในปี 2543 จะมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั้งโลกประมาณ 100 ล้านคน หรือใกล้เคียงกับประชากรในโลกทั้งหมดสำหรับประเทศไทยนั้น อินเตอร์เน็ตเริ่มมีบทบาทอย่างมากในช่วงปี 2530-2535 โดยเริ่มจากการเป็นเครือข่ายในระบบคอมพิวเตอร์ระดับมหาวิทยาลัย (Campus Network) แล้วจึงเชื่อมต่อเข้าสู่อินเตอร์เน็ตอย่างสมบูรณ์เมื่อเดือนสิงหาคม 2535และ ในปี 2538 ก็มี การเปิดให้ บริการอินเตอร์เน็ตในเชิงพาณิชย์ (รายแรก คือ อินเตอร์เน็ตเคเอสซี) ซึ่งขณะนั้น เวิร์ลด์ไวด์เว็บกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในอเมริกาอย่างไรก็ตาม อินเตอร์เน็ต บางครั้งก็มีการเรียกย่อเป็น เน็ต (Net) หรือ The Net ด้วยเช่นเดียวกัน อีกคำหนึ่งที่หมายถึงอินเตอร์เน็ตก็คือ เว็บ (Web) และ เวิร์ลด์ไวด์เว็บ (World – Wide Web) (จริง ๆ แล้ว เว็บเป็นเพียงบริการหนึ่งของอินเตอร์เน็ตเท่านั้น แต่บริการนี้ ถือว่าเป็นบริการที่มีผู้นิยมใช้มากที่สุด



อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย


ประเทศไทยได้เริ่มติดต่อกับอินเทอร์เน็ตในปี พ.ศ. 2530 ในลักษณะการใช้บริการ จดหมายเล็กทรอนิกส์แบบแลกเปลี่ยนถุงเมล์เป็นครั้งแรก โดยเริ่มที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ (Prince of Songkla University) และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียหรือสถาบันเอไอที (AIT) ภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและออสเตรเลีย (โครงการ IDP) ซึ่งเป็นการติดต่อเชื่อมโยงโดยสายโทรศัพท์ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2531 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ได้ยื่นขอที่อยู่อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย โดยได้รับที่อยู่อินเทอร์เน็ต Sritrang.psu.th ซึ่งนับเป็นที่อยู่อินเทอร์เน็ตแห่งแรกของประเทศไทย ต่อมาปี พ.ศ. 2534 บริษัท DEC (Thailand) จำกัดได้ขอที่อยู่อินเทอร์เน็ตเพื่อใช้ประโยชน์ภายในของบริษัท โดยได้รับที่อยู่อินเทอร์เน็ตเป็น dect.co.th โดยที่คำ “th” เป็นส่วนที่เรียกว่า โดเมน (Domain) ซึ่งเป็นส่วนที่แสดงโซนของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย โดยย่อมาจากคำว่า Thailand

กล่าวได้ว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตชนิดเต็มรูปแบบตลอด 24 ชั่วโมง ในประเทศไทยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อเดือน กรกฎาคม ปี พ.ศ. 2535 โดยสถาบันวิทยบริการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เช่าวงจรสื่อสารความเร็ว 9600 บิตต่อวินาที จากการสื่อสารแห่งประเทศไทยเพื่อเชื่อมเข้าสู่อินเทอร์เน็ตที่บริษัท ยูยูเน็ตเทคโนโลยี (UUNET Technologies) ประเทศสหรัฐอเมริกาในปีเดียวกัน ได้มีหน่วยงานที่เชื่อมต่อแบบออนไลน์กับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผ่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลายแห่งด้วยกัน ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) มหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยาเขตเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ โดยเรียกเครือข่ายนี้ว่าเครือข่าย “ไทยเน็ต” (THAInet) ซึ่งนับเป็นเครือข่ายที่มี “ เกตเวย์ “ (Gateway) หรือประตูสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นแห่งแรกของประเทศไทย (ปัจจุบันเครือข่ายไทยเน็ตประกอบด้วยสถาบันการศึกษา 4 แห่งเท่านั้น ส่วนใหญ่ย้ายการเชื่อมโยงอินเทอร์เน็ตโดยผ่านเนคเทค (NECTEC) หรือศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ)



ปี พ.ศ. 2535 เช่นกัน เป็นปีเริ่มต้นของการจัดตั้งกลุ่มจดหมายอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการศึกษาและวิจัยโดยมีชื่อว่า "เอ็นดับเบิลยูจี" (NWG : NECTEC E-mail Working Group) โดยการดูแลของเนคเทค และได้จัดตั้งเครือข่ายชื่อว่า "ไทยสาร" (ThaiSarn : Thai Social/Scientific Academic and Research Network) เพื่อการติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน โดยเริ่มแรกประกอบด้วยสถาบันการศึกษา 8 แห่ง ปัจจุบันเครือข่ายไทยสารเชื่อมโยงกับสถาบันต่างๆ กว่า 30 แห่ง ทั้งสถาบันการศึกษาและหน่วยงานของรัฐ


ปัจจุบันได้มีผู้รู้จักและใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น มีอัตราการเติบโตมากกว่า 100 % สมาชิกของอินเทอร์เน็ตขยายจากอาจารย์และนิสิตนักศึกษาในระดับอุดมศึกษาไปสู่ประชาชนทั่วไป


การประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ต


การประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ตในปัจจุบันทำได้หลากหลาย อาทิเช่น ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีเมล์ (e-Mail) , สนทนา (Chat), อ่านหรือแสดงความคิดเห็นในเว็บบอร์ด, การติดตามข่าวสาร, การสืบค้นข้อมูล / การค้นหาข้อมูล, การชม หรือซื้อสินค้าออนไลน์ , การดาวโหลด เกม เพลง ไฟล์ข้อมูล ฯลฯ, การติดตามข้อมูล ภาพยนตร์ รายการบันเทิงต่างๆ ออนไลน์, การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ออนไลน์, การเรียนรู้ออนไลน์ (e-Learning), การประชุมทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ต (Video Conference), โทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต (VoIP), การอับโหลดข้อมูล หรือ อื่นๆแนวโน้มล่าสุดของการใช้อินเทอร์เน็ตคือการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์เพื่อสร้าง ซึ่งพบว่าปัจจุบันเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมดังกล่าวกำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเช่น และการใช้เริ่มมีการแพร่ขยายเข้าไปสู่การใช้อินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ (Mobile Internet) มากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีปัจจุบันสนับสนุนให้การเข้าถึงเครือข่ายผ่านโทรศัพท์มือถือทำได้ง่ายขึ้นมาก


ประโยชน์ของอินเตอร์เน็ต

อินเตอร์เน็ตเปรียบเสมือนชุมชนเมืองแห่งใหม่ของโลก เป็นชุมชนของคนทั่วมุมโลก จึงมีบริการต่างๆเกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา

1.ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์(Electronic mail=E-mail) ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือE-mail เป็นการส่งจดหมายผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตโดยผู้ส่งสสามารถส่งข้อความไปยังที่อยู่ของผู้รับ ในรูปแบบของอีเมล์ เมื่อผู้ส่งเขียนจดหมาย แล้วส่งไปยังผู้รับ ผู้รับจะได้รับจดหมายภายในเวลาไม่กี่วินาที แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลกก็ตาม นอกจากนี้ยังสามารถส่งแฟ้มข้อมูลหรือไฟล์แนบไปกับอีเมล์ได้ด้วย

2.กรขอเข้าระบบจากระยะไกลหรือเทลเน็ต(Telnet)เป็นบริการอินเน็ตรูปแบบหนึ่งโดยที่เราสามารถเข้าไปใช้งานคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งที่อยู่ไกลๆได้ด้วยตนเอง เช่น ถ้าเราอยู่ที่โรงเรียนทำงานโดยใช้อินเตอร์เน็ตของโรงเรียนแล้วกลับไปที่บ้าน เรามีคอมพิวเตอร์ที่บ้านและต่ออินเตอร์เน็ตไว้เราสามารถเรียกข้อมูลจากที่โรงเรียนมาทำที่บ้านได้ เสมือนกับเราทำงานที่โรงเรียนนั่นเอง

3.การโอนถ่ายข้อมูล(File Transfer Protocol หรือ FTP) เป็นบริการอีกรูปแบบหนึ่งของระบบอินเตอร์เน็ต เราสามารถค้นหาและเรียกข้อมูลจากแหล่งต่างๆมาเก็บไว้ในเครื่องของเราได้ ทั้งข้อมูลประเภทตัวหนังสือ รูปภาพและเสียง

4.การสืบค้นข้อมูล(Gopher,Archie,World wide Web) หมายถึง การใช้เครื่อข่ายอินเตอร์เน็ตในการค้นหาข่าวสารที่มีอยู่มากมายแล้วช่วยจัดเรียงข้อมูลข่าวสารหัวข้ออย่างมีระบบ เป็นเมนู ทำให้เราหาข็อมูลได้ง่ายหรือสะดวกมากขึ้น

5.การแลกเปลี่ยนข่าวสารและความคิดเห็น(Usenet) เป็นการให้บริการแลกเปลี่ยนข่าวสารและแสดงความคิดเห็นที่ผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตทั่วโลกสามารถพบปะกัน แสดงความคิดเห็นของตน โดยมีการจัดการผู้ใช้เป็นกลุ่มข่าวหรือนิวกรุ๊ป(Newgroup)แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นหัวข้อต่างๆ เช่น เรื่องหนังสือ เรื่องการเลี้ยงสัตว์ ต้นไม้ คอมพิวเตอร์และการเมือง เป็นต้น ปัจจุบันมี Usenet มากกว่า15,000 กลุ่ม นับเป็นเวทีขนาดใหญ่ให้ทุกคนจากทั่วมุมโลกแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง

6.การสื่อสารด้วยข้อความ(Chat,IRC-Internet Relay chat) เป็นการพูดคุยกันระหว่างผู้ใช้อินเตอร์เน็ต โดยพิมพ์ข้อความตอบกัน ซึ่งเป็นวิธีการสื่อสารที่ไดัรับความนิยมมากอีกวิธีหนึ่ง การสนทนากันผ่านอินเตอร์เน็ตเปรียบเสมือนเรานั่งอยู่ในห้องสนทนาเดียวกัน แต่ละคนก็พิมพ์ข้อความโต้ตอบกันไปมาได้ในเวลาเดียวกัน แม้จะอยู่คนละประเทศหรือคนละซีกโลกก็ตาม

7.การซื้อขายสินค้าและบริการ(E-Commerce = Eletronic Commerce) เป็นการจับจ่ายซื้อ - สินค้าและบริการ เช่น ขายหนังสือ คอมพิวเตอร์ การท่องเที่ยว เป็นต้น ปัจจุบันมีบริษัทใช้อินเตอร์เน็ตในการทำธุรกิจและให้บริการลูกค้าตลอด24ชั่วโมง ในปี2540 การค้าขายบนอินเตอร์เน็ตมีมูลค่าสูงถึง1แสนล้านบาท และจะเพิ่มเป็น1ล้านล้านบาทในอีก5ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นโอกาสทางธุรกิจแบบใหม่ที่น่าสนใจและเปิดทางให้ทุกคนเข้ามาทำธุรกิจได้โดยใช้ทุรไม่มากนัก

8.การให้ความบันเทิง(Entertain) ในอินเตอร์เน็ตมีบริการด้านความบันเทิงในทุกรูปแบบต่างๆ เช่น เกมส์ เพลง รายการโทรทัศน์ รายการวิทยุ เป็นต้น เราสามารถเลือกใช้บริการเพื่อความบันเทิงได้ตลอด24ชั่วโมงและจากแหล่งต่างๆทั่วทุกมุมโลก ทั้งประเทศไทย อเมริกา ยุโรปและออสเตรเลีย

โทษของอินเตอร์เน็ต


1.โรคติดอินเทอเน็ต(Webaholic) อินเตอร์เน็ตก็เป็นสิ่งเสพติดหรือ? การเล่นอินเตอร์เน็ต ทำให้คุณเสียงาน ผู้ใดเป็นผู้ที่ติดการพนัน การติดการพนันประเภทที่ถอนตัวไม่ขึ้น มีลักษณะคล้ายคลึงกับ การติดอินเตอร์เน็ต เพราะทั้งสองอย่าง เกี่ยวข้องกับการล้มเหลว ในการควบคุมความต้องการของตนเอง โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสารเคมีใดๆ (อย่างสุรา หรือยาเสพติด) ผู้ที่มีอาการอย่างน้อย 4 อย่าง เป็นเวลานานอย่างน้อย 1 ปีถือได้ว่า มีอาการติดอินเตอร์เน็ต
• รู้สึกหมกมุ่นกับอินเตอร์เน็ต แม้ในเวลาที่ไม่ได้ต่อกับอินเตอร์เน็ต
• มีความต้องการใช้อินเตอร์เน็ตเป็นเวลานานขึ้น
• ไม่สามารถควบคุมการใช้อินเตอร์เน็ตได้
• รู้สึกหงุดหงิดเมื่อต้องใช้อินเตอร์เน็ตน้อยลงหรือหยุดใช้
• ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นวิธีในการหลีกเลี่ยงปัญหาหรือคิดว่าการใช้อินเตอร์เน็ตทำให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น
• หลอกคนในครอบครัวหรือเพื่อน เรื่องการใช้อินเตอร์เน็ตของตัวเอง
• การใช้อินเตอร์เน็ตทำให้เกิดการเสี่ยงต่อการสูญเสียงาน การเรียน และความสัมพันธ์ ยังใช้อินเตอร์เน็ตถึงแม้ว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก
• มีอาการผิดปกติ อย่างเช่น หดหู่ กระวนกระวายเมื่อเลิกใช้อินเตอร์เน็ต
• ใช้เวลาในการใช้อินเตอร์เน็ตนานกว่าที่ตัวเองได้ตั้งใจไว้มีผล กระทบต่อการเรียน อาชีพ สภาพทางสังคมและเศรษฐกิจของคนคนนั้น ถึงแม้ว่าการวิจัยที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่า การติดเทคโนโลยีอย่างเช่น การติดเล่นเกมส์ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับเพศชายแต่ผลลัพธ์ข้างต้น แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ติดอินเตอร์เน็ต ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง วัยกลางคนและไม่มีงานทำ


2.เรื่องอณาจารผิดศีลธรรม(Pornography/Indecent Content) เรื่องของข้อมูลต่างๆที่มีเนื้อหาไปในทางขัดต่อศีลธรรม ลามกอนาจาร หรือรวมถึงภาพโป๊เปลือยต่างๆนั้นเป็น เรื่องที่มีมานานพอสมควรแล้วบนโลกอินเทอเน็ต แต่ไม่โจ่งแจ้งเนื่องจากสมัยก่อนเป็นยุคที่WWW ยังไม่พัฒนา มากนักทำให้ไม่มีภาพออกมา แต่ในปัจจุบันภายเหล่านี้เป็นที่โจ่งแจ้งบนอินเทอเน็ตและสิ่งเหล่านี้สามารถเข้าสู่เด็ก และเยาวชนได้ง่ายโดยผู้ปกครองไม่สามารถที่จะให้ความดูแลได้เต็มที่ เพราะว่าอินเทอเน็ตนั้นเป็นโลกที่ไร้พรมแดนและเปิดกว้างทำให้สื่อเหล่านี้สามรถเผยแพร่ไปได้รวดเร็วจนเรา ไม่สามารถจับกุมหรือเอาผิดผู้ที่ทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้


3.ไวรัส ม้าโทรจัน หนอนอินเตอร์เน็ต และระเบิดเวลา ไวรัส : เป็นโปรแกรมอิสระ ซึ่งจะสืบพันธุ์โดยการจำลองตัวเองให้มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะทำลายข้อมูล หรืออาจทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลงโดยการแอบใช้สอยหน่วยความจำหรือพื้นที่ว่างบนดิสก์โดยพลการ
ม้าโทรจัน : ม้าโทรจันเป็นตำนานนักรบที่ซ่อนตัวอยู่ในม้าไม้ แล้วแอบเข้าไปในเมืองจนกระทั่งยึดเมืองได้สำเร็จ โปรแกรมนี้ก็ทำงานคล้ายๆกัน คือโปรแกรมนี้จะทำหน้าที่ไม่พึงประสงค์ มันจะซ่อนตัวอยู่ในโปรแกรมที่ไม่ได้รับอนุญาต มันมักจะทำในสิ่งที่เราไม่ต้องการ และสิ่งที่มันทำนั้น ไม่มีความจำเป็นต่อเราด้วยหนอนอินเตอร์เน็ต : ถูกสร้างขึ้นโดย Robert Morris, Jr. จนดังกระฉ่อนไปทั่วโลก มันคือโปรแกรมที่จะสืบพันธุ์โดยการจำลองตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ จากระบบหนึ่ง ครอบครองทรัพยากรและทำให้ระบบช้าลง
ระเบิดเวลา : คือรหัสซึ่งจะทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นรูปแบบเฉพาะของการโจมตีนั้นๆ ทำงานเมื่อสภาพการโจมตีนั้นๆมาถึง ยกตัวอย่างเช่น ระเบิดเวลาจะทำลายไฟล์ทั้งหมดในวันที่ 31 กรกฎาคม 2542


บัญญัติ 10 ประการของการใช้อินเทอร์เน็ต

ยืน ภู่วรวรรณ ได้กล่าวถึงบัญญัติ 10 ประการ ซึ่งเป็นจรรยาบรรณที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตยึดถือไว้ เสมือนเป็นแม่บทของการปฏิบัติ ผู้ใช้พึงระลึกและเตือนความจำเสมอ

1. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์ทำร้าย หรือละเมิดผู้อื่น
2. ต้องไม่รบกวนการทำงานของผู้อื่น
3. ต้องไม่สอดแนม แก้ไข หรือเปิดดูแฟ้มข้อมูลของผู้อื่น
4. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการโจรกรรมข้อมูลข่าวสาร
5. ต้องไม่ใช้คอมพิวเตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ
6. ต้องไม่คัดลอกโปรแกรมของผู้อื่นที่มีลิขสิทธิ์
7. ต้องไม่ละเมิดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์โดยที่ตนเองไม่มีสิทธิ์
8. ต้องไม่นำเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน
9. ต้องคำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสังคมอันติดตามมาจากการกระทำของท่าน
10. ต้องใช้คอมพิวเตอร์โดยเคารพกฏระเบียบ กติกา และมีมารยาท จรรยาบรรณเป็นสิ่งที่ทำให้สังคมอินเทอร์เน็ตเป็นระเบียบ ความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นเรื่องที่จะต้อง ปลูกฝังกฏเกณฑ์ของแต่ละเครือข่าย จะต้องมีการวางระเบียบ เพื่อให้การดำเนินงาน เป็นไปอย่างมีระบบ และเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน บางเครือข่ายมีบทลงโทษที่ชัดเจน เช่น การปฏิบัติผิดกฏเกณฑ์ของเครือข่าย จะต้องตัดสิทธิ์การเป็นผู้ใช้ของเครือข่าย ในอนาคตจะมี การใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นจำนวนมาก จรรยาบรรณจึงเป็นสิ่งที่ช่วยให้สังคมอินเทอร์เน็ต สงบสุข หากมีการละเมิดอย่างรุนแรง กฎหมายจะเข้ามามีบทบาทต่อไป ( โครงการการเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียนไทย.)